Scalping คืออะไร
การเทรดแบบ Scalping คือกลยุทธ์ทางการเงินที่เน้นการทำกำไรจากการเข้าและออกจากราคาสินทรัพย์อย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้น ๆ โดยทั่วไปแล้วเป็นในระยะเวลาไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมง โดย Scalping มักทำให้สามารถเปิดและปิดออร์เดอร์ได้อย่างรวดเร็วมาก คนที่ทำ Scalping หรือ Scalper มักเชื่อว่าในตลาดนี้ถ้าเข้าการเทรดในกราฟระยะเวลาเล็ก ๆ เช่น รายนาที หรืออาจเป็นรายชั่วโมง เราสามารถหาโอกาสเข้าเทรดและทำกำไรได้มากมายในแต่ละวัน
การเทรดในรูปแบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำ Day Trade ซึ่งหมายถึงการเทรดในระยะเวลารายวัน ความแตกต่างระหว่าง Day Trade ทั่วไปกับ Scalping คือ Day Trader มักจะหาจุดเข้าเทรดที่คุ้มค่ามากขึ้น บางครั้งอาจต้องการเปิดออร์เดอร์ที่มีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อรางวัล (RR) มากกว่า 1:1 ซึ่งทำให้โอกาสในการเข้าเทรดน้อยลง เป็นได้ที่ไม่มีโอกาสเข้าตลาดหรือไม่มีจุดที่เหมาะสมตลอดวัน ในขณะที่ Scalper เนื่องจากเล่นในกราฟระยะเวลาเล็กลงมามากกว่า Day Trader ทำให้โอกาสในการเข้าเทรดมีมากมายตลอดเวลา และมีการเข้าเทรดหลายครั้งตลอดวัน การที่มีโอกาสเข้าตลาดมากมายทำให้ Scalper สามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็วและมีโอกาสสร้างพอร์ตการเทรดได้ดีขึ้นได้เช่นกัน.
วิธีเทรดแบบ Scalping
การเทรดแบบ Scalping เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่ต้องการความรวดเร็วและการตัดสินใจที่รวดเร็วเพื่อจับกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะเวลาสั้น ๆ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีกลยุทธ์และวิธีการที่เหมาะสมเพื่อประสบความสำเร็จใน Scalping. ต่อไปนี้คือขั้นตอนพื้นฐานสำหรับการเทรดแบบ Scalping:
- เลือกตลาดที่เหมาะสม: เริ่มต้นด้วยการเลือกตลาดที่คุณสนใจและมีความคุ้นเคย ส่วนใหญ่ Scalpers จะเทรดในตลาดแลกเปลี่ยน (Forex) หรือตลาดหุ้น. คุณควรทำการวิเคราะห์เบื้องต้นเกี่ยวกับตลาดที่คุณเลือกและทราบเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของราคาในตลาดนั้น.
- เลือกคู่เงินหรือหลักทรัพย์: หากคุณเลือกเทรดในตลาด Forex, คุณจะต้องเลือกคู่เงินที่คุณต้องการเทรด เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY เป็นต้น หากคุณเลือกเทรดหุ้น, คุณต้องเลือกหุ้นที่คุณต้องการเทรด เช่น AAPL (Apple Inc.), GOOG (Alphabet Inc.) เป็นต้น.
- ใช้กราฟเทรด: ใช้กราฟเทรดในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น 1 นาที (1-minute chart) หรือ 5 นาที (5-minute chart) เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของราคาในเวลาจริง.
- ใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิค: Scalpers มักใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคเช่น ค่า MACD, ค่า RSI, และ Moving Averages เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย. คุณสามารถปรับแต่งการใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ให้เหมาะกับกลยุทธ์ Scalping ของคุณ.
- ตั้งค่า Stop-Loss และ Take-Profit: การตั้งค่าระดับ Stop-Loss เพื่อรักษาการสูญเสียในกรณีที่ตลาดเคลื่อนตัวตรงข้ามกับที่คุณคาดหวัง และ Take-Profit เพื่อระบุระดับที่คุณต้องการกำไร. การตั้งค่าเหล่านี้ช่วยควบคุมความเสี่ยง.
- การจัดการเงิน: มีกฎเกณฑ์เสี่ยงที่สมเหตุสมผลและต้องการการจัดการเงินที่ดี เช่น ไม่ควรลงทุนเงินมากเกินไปในรายการเดียว, ควรใช้เงินทุนที่คุณสามารถขาดทุนได้, และใช้การบริหารเงินเพื่อควบคุมการเสี่ยง.
- ความรอบคอบและรวดเร็ว: Scalping ต้องการความรวดเร็วในการตัดสินใจและกระตุ้นการเทรดอย่างรวดเร็ว คุณต้องรักษาความตระหนักและเป็นไปตามกลยุทธ์ของคุณอย่างเคร่งครัด.
กลยุทธ์การวิเคราะห์ Scalping
การ Scalping เป็นกลยุทธ์การเทรดที่อาจให้กำไรเล็กน้อยในแต่ละราคาแต่ทำในระยะเวลาต่อเนื่อง โดยต้องมีการวิเคราะห์และการดูแลรักษาตลอดเวลาเพื่อป้องกันความขาดทุน การ Scalping เหมาะสำหรับผู้เทรดที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการซื้อขายทางการเงินที่รวดเร็วและมีความสามารถในการตัดสินใจแบบรวดเร็ว ดังนี้
- การเข้าไว ออกไว: หลักสำคัญของ Scalping คือการเข้าทำกำไรและออกที่รวดเร็ว ผู้เทรดต้องทำกำไรเพียงเล็กน้อยในแต่ละราคาและรีบออกจากตลาดในเวลาที่เร็วที่สุด โดยมักจะถือ position ไม่นานเป็นระยะเวลาไม่เกินหลักชั่วโมงและบางครั้งไม่เกิน 1 วัน. เมื่อคุณเห็นโอกาสทำกำไรในระยะเวลาสั้น ๆ คุณอาจใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือตัวชี้วัดเพื่อระบุจุดเข้าที่เหมาะสม เป็นตัวอย่าง
- การใช้ Moving Average: คุณอาจตั้งค่าเส้น Moving Average เพื่อระบุเวลาที่เป็นที่น่าสนใจในการเข้าทำกำไรเมื่อราคาข้ามเส้น Moving Average อาจถือเป็นสัญญาณในการเข้าทำกำไร.
- การใช้ RSI (Relative Strength Index): RSI เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้คุณเห็นว่าตลาดมีการซื้อขายมากเกินไปหรือขายออกมากเกินไป ถ้า RSI ขึ้นไปมากกว่า 70, อาจแสดงถึงตลาดที่เริ่มมีความเสี่ยงในการถดถอย และคุณอาจพิจารณาเข้าทำกำไรในทิศทางที่ตรงข้าม.
- การออกไว: การทำรายการออกจากตลาดอย่างรวดเร็วเมื่อคุณได้ทำกำไรหรือเสี่ยงขาดทุน การรีบออกเป็นสิ่งสำคัญเพื่อปกป้องกำไรที่คุณได้ทำและลดความเสี่ยงในการขาดทุน ตลาดทางการเงินมีความผันผวนสูง และราคาอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- ตั้งค่าความเสี่ยงที่ 1:1: การตั้งค่าความเสี่ยงที่ 1:1 หมายความว่า คุณกำลังรับความเสี่ยงและรางวัลในอัตราส่วนเท่ากัน หรือสัมพันธ์ 1:1 ในการเทรด. นี่คือหลักการที่หมายถึงว่าหากคุณเสี่ยงขาดทุนแบบเป็นเงิน 1 หน่วย คุณควรที่จะมีโอกาสทำกำไรแบบเป็นเงิน 1 หน่วย หรือกำไรและขาดทุนมีมูลค่าเท่ากัน ตัวอย่างการตั้งค่าความเสี่ยงที่ 1:1 ในการเทรด
- การเทรดแลกเปลี่ยน (Forex) คุณซื้อคู่สกุลเงิน EUR/USD ในราคา 1.1000 และตั้งเป้าหมายที่ราคา 1.1001 เพื่อทำกำไร หากราคาขึ้นไปถึง 1.1001 คุณจะขายคู่สกุลเงินเพื่อทำกำไร 1 พิป (pip). แต่หากราคาลดลงไปถึง 1.0999 คุณจะต้องทำการ Cut Loss เพื่อขาดทุน 1 pip.
- ตั้งค่า Stop Loss: การตั้งค่า Stop Loss เป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุน การ Scalping เป็นการซื้อขายที่รวดเร็วและต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว เพราะฉะนั้นการตั้ง Stop Loss ช่วยปกป้องเงินทุนและช่วยให้คุณปรับตัวในกรณีที่ราคาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และหากคุณตั้งค่า Stop Loss ในระดับที่มากเกินไป อาจทำให้คุณมีโอกาสถูกหยุดออกจากตลาดก่อนเวลาที่เหมาะสม แต่ถ้าตั้งค่ามากเกินไป อาจทำให้คุณมีความเสี่ยงขาดทุนมากขึ้น การตั้งค่า Stop Loss ต้องดูถึงความสมดุลระหว่างการคุ้มครองเงินทุนและการยอมรับความเสี่ยงในการเทรด
- จับจังหวะแนวโน้มและแนวรับ-แนวต้าน: การจับจังหวะแนวโน้มช่วยให้คุณมีภาพรวมของสภาวะทางการเงินในขณะนั้น โดยใช้ตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น Moving Average เพื่อติดตามแนวโน้ม และการสังเกตแนวรับแนวต้านเพื่อทำการเข้าและออกจากตลาดในระหว่างการซื้อขาย.
- แนวโน้ม (Trend): คือทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในระยะเวลาที่กำหนด เช่น ระยะเวลาสั้น ๆ, ระยะเวลายาว ๆ, หรือแม้กระทั่งระยะเวลายาวนาน แนวโน้มสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท:
- แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): ราคามีแนวโน้มขึ้นไปที่ระดับราคาสูงขึ้นตามเวลา.
- แนวโน้มขาลง (Downtrend): ราคามีแนวโน้มลงลงไปที่ระดับราคาต่ำลงตามเวลา.
- แนวโน้มแบบแนวนอน (Sideways or Range-bound): ราคาขยับไปมาในช่วงราคาที่เรียกว่า “ช่วง” โดยไม่มีแนวโน้มชัดเจนขึ้นหรือลง.
- แนวรับ-แนวต้าน (Support and Resistance): คือระดับราคาที่ราคาในการเงินมักมีความต้านทานหรือการสนับสนุน หากราคาเข้าใกล้แนวรับ มักมีการซื้อเพิ่มขึ้น และหากเข้าใกล้แนวต้าน มักมีการขายเพิ่มขึ้น การสังเกตแนวรับแนวต้านช่วยให้เทรดเดอร์ระบุระดับที่เหมาะสมในการเข้าและออกจากตลาด
- แนวรับ (Support): เป็นระดับราคาที่ราคามักมีความต้านทานในการลดลง คือระดับที่ราคามักหยุดหรือถูกชาร์จเพิ่มขึ้นจากการขาดทุนเมื่อมาถึงระดับนี้ นักลงทุนมักเห็นแนวรับเป็นโอกาสในการซื้อเพิ่มเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ.
- แนวต้าน (Resistance): เป็นระดับราคาที่ราคามักมีความต้านทานในการขึ้นสูงขึ้น คือระดับที่ราคามักหยุดหรือถูกชาร์จลดลงจากการขายเพิ่มเมื่อมาถึงระดับนี้ นักลงทุนมักเห็นแนวต้านเป็นโอกาสในการขายออกเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน.
- แนวโน้ม (Trend): คือทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในระยะเวลาที่กำหนด เช่น ระยะเวลาสั้น ๆ, ระยะเวลายาว ๆ, หรือแม้กระทั่งระยะเวลายาวนาน แนวโน้มสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท:
ข้อดีและข้อเสียของการเทรดแบบ Scalping
การ Scalping เป็นกลยุทธ์ที่มีข้อดีและข้อเสียขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุนและความเชี่ยวชาญของนักลงทุนแต่ละคน คุณควรพิจารณาความพร้อมของคุณและความเสี่ยงที่คุณต้องการรับก่อนที่จะตัดสินใจเลือกการเทรดแบบ Scalping
ข้อดีของการเทรดแบบ Scalping
- เทรดไว บริหารความเสี่ยงให้ลดลง: Scalping ให้โอกาสในการทำกำไรระยะสั้นๆ และปรับการบริหารความเสี่ยงได้ดี เนื่องจากคุณเปิดและปิดรายการอย่างรวดเร็ว นี่ช่วยลดความเสี่ยงในการถือตำแหน่งเมื่อตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไม่คาดคิด.
- เทรดได้หลากหลาย ทุกสภาพตลาด: Scalping สามารถใช้ในทุกสภาพตลาด เรียกว่าเทรดแบบไม่ขาดสาย (Market-neutral) และมีโอกาสที่ดีที่จะทำกำไรในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น (Up Trend), เทรนด์ขาลง (Down Trend), หรือเทรนด์เคลื่อนไปด้านข้าง (Sideways).
- ไม่ต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานมากนัก: Scalping เน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคและราคาในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในปัจจัยพื้นฐานหรือติดตามข่าวสารบ้านเมือง นี่เป็นไปได้ด้วยการศึกษาและปฏิบัติกับกราฟราคา.
ข้อเสียของการเทรดแบบ Scalping
- มีความกดดันค่อนข้างมาก: Scalping เป็นการเทรดที่ต้องดำเนินการและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว การที่ต้องตัดสินใจในระยะเวลาสั้นๆ และการต้องตรวจสอบกราฟตลอดเวลาสามารถสร้างความกดดันและเครียดได้.
- ใช้เงินทุน ค่าใช้จ่ายสูง: เนื่องจาก Scalping เปิดรายการบ่อย ๆ และต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย ดังนั้นค่าใช้จ่ายสามารถเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อทำ Scalping และนักลงทุนจำเป็นต้องมีเงินทุนเพียงพอ.
- ต้องติดตามกราฟราคาตลอดเวลา: Scalping ต้องการความตั้งใจและการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของราคาในเวลาจริง คุณต้องมีความรอบคอบและพร้อมที่จะจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา เพื่อไม่พลาดโอกาสเทรด.
สิ่งที่ควรรู้ในการทำ Scalping
การทำ Scalping เป็นกลยุทธ์การเทรดที่มีความต้องการความรอบคอบ ควรศึกษาและฝึกฝนให้มากก่อนที่จะลงทุนด้วยกลยุทธ์นี้และเรียนรู้การบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยสิ่งที่ควรรู้ในการทำ Scalping
- การทำ Scalping เป็นการเปิดออเดอร์ซื้อขายแบบเล็ก ๆ: Scalping เป็นกลยุทธ์การเทรดที่เน้นการทำกำไรจากความเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะสั้น ๆ โดยจะระบุราคาที่จำนวน Pip ต่ำมาก เช่น 1 Pip หรือสูงสุดไม่เกิน 15 Pip เพื่อทำกำไร. การเทรดแบบ Scalping จึงต้องการการเปิดและปิดรายการอย่างรวดเร็ว.
- ความถี่ในการทำกำไร: Scalping มุ่งหน้าที่การทำกำไรจากแนวโน้มราคาที่เล็กน้อย ดังนั้น Time Frame ที่ใช้ในการวิเคราะห์ราคาจะต่ำ เช่น 1 นาที (1-minute chart) หรือ 5 นาที (5-minute chart) เพื่อตรวจสอบความเคลื่อนไหวในเวลาจริง.
- ความเสี่ยงสูง: การทำ Scalping มีความเสี่ยงสูงเหมือนกับกลยุทธ์การเทรดอื่น ๆ เนื่องจากคุณต้องเฝ้ากราฟตลอดเวลาและตัดสินใจอย่างรวดเร็วในการเปิดและปิดรายการ ความเสี่ยงนี้สามารถควบคุมได้ด้วยการใช้ Stop-Loss และ Take-Profit.
- การตรวจสอบบัญชีการซื้อขาย: การทำ Scalping ต้องดูเงื่อนไขของแต่ละบัญชีการซื้อขายว่ามีการอนุญาตและเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน โบรกเกอร์แต่ละรายอาจมีข้อกำหนดแตกต่างกัน เช่น การกระจาย Spread หรือค่าธรรมเนียมการซื้อขาย.
- เหมาะกับตลาดราคาวิ่งในกรอบ: Scalping เหมาะสำหรับตลาดที่ราคามีแนวโน้มการเคลื่อนไหวซับซ้อนในกรอบเวลาสั้น ๆ ถ้าตลาดมีการแกว่งแรงหรือเคลื่อนไหวอย่างเร็ว ความเสี่ยงสูงขึ้น.