Long Position (Buy) คืออะไร ทำไมถึงเรียก Long ทิศทางตลาด

Long Position (Buy) คืออะไร

“Long Position” หรือ “Buy” ในคอนเท็กซ์ของการลงทุนและการซื้อขายหลักทรัพย์ หมายถึง การซื้อหลักทรัพย์ (หรือสินทรัพย์อื่น ๆ) ด้วยความหวังว่า ราคาของหลักทรัพย์นั้นๆ จะเพิ่มขึ้นในอนาคต จากนั้นผู้ลงทุนสามารถขายหลักทรัพย์นั้นออกไปเพื่อหากำไรจากการเพิ่มขึ้นของราคา
Long Position (Buy) คืออะไร
Long Position (Buy) คืออะไร
การเปิด “Long Position” มักจะเป็นสัญญาณว่า ผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นว่า ราคาของหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์จะมีแนวโน้มขึ้น และอาจใช้เทคนิคหรือการวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์พื้นฐาน หรืออื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจนั้น
การลงทุนด้วย “Long Position” คือวิธีที่ง่ายที่สุดและมักจะเป็นที่รู้จักกันที่สุด ซึ่งแตกต่างจาก “Short Position” ที่ผู้ลงทุนขายหลักทรัพย์ที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ ด้วยความหวังว่า จะซื้อกลับมาในราคาที่ถูกกว่าในอนาคต และทำกำไรจากการลดลงของราคา

ทำไมถึงเรียก Long ทิศทางตลาด

คำว่า “Long” ในการลงทุนและการซื้อขายหลักทรัพย์ไม่ได้หมายถึงระยะเวลาหรือความยาวในทางตรง แต่เป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายทิศทางหรือมุมมองที่ผู้ลงทุนมีต่อตลาดหรือหลักทรัพย์ คำว่า “Long” ในนี้หมายถึง การซื้อหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ด้วยความหวังว่า ราคาจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็น “ทิศทาง” หรือ “มุมมอง” ที่ต้องการให้ราคาของหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์มีการเคลื่อนที่ขึ้น
long position
long position
คำนี้ได้มาจากการที่ คนทั้งหลายมักจะเรียกการลงทุนหรือการเก็บเงินในระยะยาวเป็น “Long-term investment” หรือการลงทุนระยะยาว แม้ว่าในการซื้อขายหลักทรัพย์ การเปิด “Long Position” อาจไม่จำเป็นต้องเป็นในระยะยาวก็ตาม แต่การใช้คำว่า “Long” ได้กลายเป็นวิธีในการอธิบายถึงมุมมองหรือทิศทางของการลงทุนที่คาดหวังว่าตลาดหรือราคาหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้น

Long Position (Buy) มีความสำคัญอย่างไร

“Long Position” หรือการซื้อ (“Buy”) มีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งในบริบทของผู้ลงทุนรายบุคคล ผู้ลงทุนระดับมหภาค และตลาดทั้งหมด ดังนี้
Long Position (Buy) มีความสำคัญอย่างไร
Long Position (Buy) มีความสำคัญอย่างไร
  1. สร้างโอกาสในการทำกำไร: การซื้อหลักทรัพย์ด้วยความหวังในการขายออกเมื่อราคาเพิ่มขึ้นเป็นวิธีหลักในการทำกำไรจากการลงทุน
  2. กระตุ้นการลงทุนและการเติบโตของเศรษฐกิจ: การซื้อหลักทรัพย์อาจทำให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ได้รับเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
  3. ปรับระดับราคา: ความต้องการในการซื้อมักจะส่งผลต่อราคาหลักทรัพย์ ทำให้มีการค้นหาราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม
  4. การควบคุมหนี้และสินทรัพย์: ผู้ลงทุนสามารถใช้ “Long Position” ในการปรับโครงสร้างการเงินของพวกเขา รวมถึงการควบคุมหนี้และสินทรัพย์ในแบบที่ต้องการ
  5. ดีเวอร์ซิฟิเคชัน: การซื้อหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์จากหลายแหล่งเป็นวิธีในการกระจายความเสี่ยง
  6. การระดมทุน: การเปิด “Long Position” สามารถทำให้บริษัทได้รับทุนจากตลาด ซึ่งสำคัญสำหรับการขยายธุรกิจหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์
  7. ส่งสัญญาณในตลาด: การที่มีผู้ลงทุนหลายๆ คนเปิด “Long Position” ส่งข้อความไปว่า ตลาดหรือหลักทรัพย์นั้นๆ อาจมีศักยภาพในอนาคต
  8. ฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์: การซื้อเป็นหนึ่งในวิธีที่ผู้ลงทุนจะสะสมข้อมูลและประสบการณ์เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์นั้น ๆ
  9. สร้างความสัมพันธ์กับบริษัท: ผู้ที่ถือหุ้นใน “Long Position” อาจได้รับสิทธิพิเศษเช่น สิทธิในการโหวตในการประชุมผู้ถือหุ้น
  10. เป็นองค์ประกอบของกลยุทธ์การลงทุนซับซ้อน: ในบางกรณี “Long Position” อาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การใช้กับตัวเลือก (Options) หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures)

ขั้นตอนการทำ Long Position (Buy)

การถือ “Long Position” หรือ “Buy” ในสินทรัพย์หรือหุ้นมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
ขั้นตอนการทำ Long Position (Buy)
ขั้นตอนการทำ Long Position (Buy)
  1. วิจัยและวิเคราะห์: ขั้นตอนแรกสำคัญคือการวิจัยและวิเคราะห์สินทรัพย์ที่คุณต้องการลงทุน เพื่อทำความเข้าใจถึงความเสี่ยง ความคุ้มค่า และศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า
  2. ตัดสินใจ: หลังจากวิเคราะห์เสร็จ คุณต้องตัดสินใจว่าจะซื้อสินทรัพย์นั้นหรือไม่ และเท่าไร
  3. เปิดบัญชีและโอนเงิน: ถ้ายังไม่มีบัญชีการลงทุน คุณจะต้องเปิดบัญชีผ่านโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มการลงทุน และโอนเงินเข้าไป
  4. ปรับแต่งพอร์ตโฟลิโอ: แปลงเงินเข้าเป็นสินทรัพย์ที่คุณต้องการลงทุน วางแผนให้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของคุณ
  5. สั่งซื้อ: ใช้แพลตฟอร์มการลงทุนเพื่อสั่งซื้อสินทรัพย์ คุณสามารถสั่งซื้อได้หลายวิธี เช่น ใช้ Market Order, Limit Order หรืออื่นๆ
  6. จัดการความเสี่ยง: ตั้ง Stop-Loss Order หรือใช้วิธีการจัดการความเสี่ยงอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน
  7. ติดตามและประเมินผล: หลังจากที่ซื้อสินทรัพย์แล้ว คุณจำเป็นต้องติดตามประสิทธิภาพ ราคา และสภาวะต่างๆ ของสินทรัพย์
  8. ขายหรือถือต่อ: คุณต้องตัดสินใจว่าจะขายสินทรัพย์เมื่อถึงเวลาที่คิดไว้หรือจะถือต่อเพื่อผลตอบแทนระยะยาว
  9. ปิดหรือจัดการ Long Position: ในกรณีที่ต้องการจะขาย คุณจะต้องสั่งขาย (Sell) ผ่านโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มการลงทุน เพื่อปิด Long Position ของคุณและรับกำไรหรือขาดทุน
  10. วิเคราะห์และปรับปรุง: วิเคราะห์ผลการลงทุนและหาวิธีการปรับปรุงสำหรับการลงทุนในอนาคต

ข้อดีข้อเสีย Long Position (Buy)

ข้อดีของ Long Position (Buy)

    1. โอกาสในการได้รับกำไร: ถ้าราคาของหุ้นหรือสินทรัพย์เพิ่มขึ้น, คุณจะได้รับกำไรจากการเพิ่มขึ้นนั้น
    2. เงินปันผล: สำหรับหุ้นที่จ่ายเงินปันผล การถือ Long Position จะทำให้คุณได้รับเงินปันผลในช่วงที่คุณถือหุ้นนั้น
    3. การซื้อและถือเป็นเวลานาน: อาจช่วยลดความเสี่ยงจากการแกว่งของตลาดระยะสั้น และยืนยันกับแนวคิดการลงทุนแบบธุรกิจระยะยาว
    4. ภาษี: ในบางประเทศ กำไรจากการขายสินทรัพย์ที่ถือมานานกว่าระยะเวลาที่กำหนดอาจได้รับส่วนลดหรือส่วนยกเว้นจากภาษี

ข้อเสียของ Long Position (Buy)

    1. ความเสี่ยงจากราคาลดลง: ถ้าราคาสินทรัพย์ลดลง คุณจะสูญเสียเงิน
    2. การลงทุนระยะยาว: การถือ Long Position บางครั้งอาจต้องใช้เวลานานในการเห็นผลกำไร ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะสั้น
    3. ค่าธรรมเนียมและภาษี: คุณอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการซื้อและขาย รวมถึงภาษีจากกำไรที่ได้รับ
    4. เลือกไม่ถูก: หากเลือกหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ไม่ดี คุณอาจจะไม่ได้รับประโยชน์แม้ว่าตลาดโดยรวมจะเติบโต
    5. ส่วนใหญ่ไม่มีการป้องกัน: ไม่เหมือนกับข้อเสนออื่น ๆ ที่มีองค์ประกอบการป้องกันเสี่ยงหรือเลเวอร์เรจ การถือ Long Position โดยตรงนั้นมีความเสี่ยงเต็มที่ของมัน

ตัวอย่าง Long Position (Buy)

ตัวอย่างการทำ Long Position (Buy) ในหุ้นของบริษัท XYZ ดังนี้

ตัวอย่าง long Position
ตัวอย่าง long Position

ขั้นตอน 1: วิจัยและวิเคราะห์

หลังจากวิเคราะห์รายงานการเงิน ข่าว และแนวโน้มของบริษัท XYZ คุณมั่นใจว่าหุ้นของบริษัทนี้จะเพิ่มมูลค่าในอนาคต

ขั้นตอน 2: ตัดสินใจ

คุณตัดสินใจซื้อ 100 หุ้นของบริษัท XYZ ณ ราคา $50 ต่อหุ้น

ขั้นตอน 3: เปิดบัญชีและโอนเงิน

คุณมีบัญชีที่โบรกเกอร์แล้ว และได้โอนเงินจำนวน $5,000 (100 หุ้น x $50) ไปยังบัญชี

ขั้นตอน 4: ปรับแต่งพอร์ตโฟลิโอ

บัญชีของคุณเตรียมพร้อมแล้วสำหรับการซื้อหุ้น

ขั้นตอน 5: สั่งซื้อ

คุณใช้แพลตฟอร์มการลงทุนของโบรกเกอร์เพื่อสั่งซื้อ 100 หุ้นของ XYZ ณ ราคา $50 ต่อหุ้น ผ่าน Market Order

ขั้นตอน 6: จัดการความเสี่ยง

คุณตั้ง Stop-Loss Order ณ ราคา $45 ต่อหุ้น ถ้าหุ้นลดลงจนถึงราคานี้ คำสั่งจะถูกทำให้และหุ้นจะถูกขายออก

ขั้นตอน 7: ติดตามและประเมินผล

คุณติดตามราคาหุ้นและข่าวสารของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ

ขั้นตอน 8: ขายหรือถือต่อ

หลังจากหนึ่งปี ราคาหุ้นของ XYZ ได้เพิ่มขึ้นเป็น $60 ต่อหุ้น คุณตัดสินใจขายทั้งหมด

ขั้นตอน 9: ปิดหรือจัดการ Long Position

คุณสั่งขาย 100 หุ้นของ XYZ ณ ราคา $60 ต่อหุ้น ผ่าน Market Order

ขั้นตอน 10: วิเคราะห์และปรับปรุง

คุณได้กำไร $1,000 (ไม่รวมค่าธรรมเนียมและภาษี) และวิเคราะห์เพื่อดูว่าอะไรทำให้คุณประสบความสำเร็จ และอะไรที่ควรปรับปรุงสำหรับการลงทุนในอนาคต

หมายเหตุ

ตัวอย่างนี้เป็นเพียงสถานการณ์ที่สมมุติ ความเสี่ยงในการลงทุนเสมอมีอยู่ และคุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน