Long Position (Buy) คืออะไร
ทำไมถึงเรียก Long ทิศทางตลาด
Long Position (Buy) มีความสำคัญอย่างไร
- สร้างโอกาสในการทำกำไร: การซื้อหลักทรัพย์ด้วยความหวังในการขายออกเมื่อราคาเพิ่มขึ้นเป็นวิธีหลักในการทำกำไรจากการลงทุน
- กระตุ้นการลงทุนและการเติบโตของเศรษฐกิจ: การซื้อหลักทรัพย์อาจทำให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ได้รับเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- ปรับระดับราคา: ความต้องการในการซื้อมักจะส่งผลต่อราคาหลักทรัพย์ ทำให้มีการค้นหาราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม
- การควบคุมหนี้และสินทรัพย์: ผู้ลงทุนสามารถใช้ “Long Position” ในการปรับโครงสร้างการเงินของพวกเขา รวมถึงการควบคุมหนี้และสินทรัพย์ในแบบที่ต้องการ
- ดีเวอร์ซิฟิเคชัน: การซื้อหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์จากหลายแหล่งเป็นวิธีในการกระจายความเสี่ยง
- การระดมทุน: การเปิด “Long Position” สามารถทำให้บริษัทได้รับทุนจากตลาด ซึ่งสำคัญสำหรับการขยายธุรกิจหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์
- ส่งสัญญาณในตลาด: การที่มีผู้ลงทุนหลายๆ คนเปิด “Long Position” ส่งข้อความไปว่า ตลาดหรือหลักทรัพย์นั้นๆ อาจมีศักยภาพในอนาคต
- ฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์: การซื้อเป็นหนึ่งในวิธีที่ผู้ลงทุนจะสะสมข้อมูลและประสบการณ์เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์นั้น ๆ
- สร้างความสัมพันธ์กับบริษัท: ผู้ที่ถือหุ้นใน “Long Position” อาจได้รับสิทธิพิเศษเช่น สิทธิในการโหวตในการประชุมผู้ถือหุ้น
- เป็นองค์ประกอบของกลยุทธ์การลงทุนซับซ้อน: ในบางกรณี “Long Position” อาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การใช้กับตัวเลือก (Options) หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures)
ขั้นตอนการทำ Long Position (Buy)
- วิจัยและวิเคราะห์: ขั้นตอนแรกสำคัญคือการวิจัยและวิเคราะห์สินทรัพย์ที่คุณต้องการลงทุน เพื่อทำความเข้าใจถึงความเสี่ยง ความคุ้มค่า และศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า
- ตัดสินใจ: หลังจากวิเคราะห์เสร็จ คุณต้องตัดสินใจว่าจะซื้อสินทรัพย์นั้นหรือไม่ และเท่าไร
- เปิดบัญชีและโอนเงิน: ถ้ายังไม่มีบัญชีการลงทุน คุณจะต้องเปิดบัญชีผ่านโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มการลงทุน และโอนเงินเข้าไป
- ปรับแต่งพอร์ตโฟลิโอ: แปลงเงินเข้าเป็นสินทรัพย์ที่คุณต้องการลงทุน วางแผนให้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของคุณ
- สั่งซื้อ: ใช้แพลตฟอร์มการลงทุนเพื่อสั่งซื้อสินทรัพย์ คุณสามารถสั่งซื้อได้หลายวิธี เช่น ใช้ Market Order, Limit Order หรืออื่นๆ
- จัดการความเสี่ยง: ตั้ง Stop-Loss Order หรือใช้วิธีการจัดการความเสี่ยงอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน
- ติดตามและประเมินผล: หลังจากที่ซื้อสินทรัพย์แล้ว คุณจำเป็นต้องติดตามประสิทธิภาพ ราคา และสภาวะต่างๆ ของสินทรัพย์
- ขายหรือถือต่อ: คุณต้องตัดสินใจว่าจะขายสินทรัพย์เมื่อถึงเวลาที่คิดไว้หรือจะถือต่อเพื่อผลตอบแทนระยะยาว
- ปิดหรือจัดการ Long Position: ในกรณีที่ต้องการจะขาย คุณจะต้องสั่งขาย (Sell) ผ่านโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มการลงทุน เพื่อปิด Long Position ของคุณและรับกำไรหรือขาดทุน
- วิเคราะห์และปรับปรุง: วิเคราะห์ผลการลงทุนและหาวิธีการปรับปรุงสำหรับการลงทุนในอนาคต
ข้อดีข้อเสีย Long Position (Buy)
ข้อดีของ Long Position (Buy)
-
- โอกาสในการได้รับกำไร: ถ้าราคาของหุ้นหรือสินทรัพย์เพิ่มขึ้น, คุณจะได้รับกำไรจากการเพิ่มขึ้นนั้น
- เงินปันผล: สำหรับหุ้นที่จ่ายเงินปันผล การถือ Long Position จะทำให้คุณได้รับเงินปันผลในช่วงที่คุณถือหุ้นนั้น
- การซื้อและถือเป็นเวลานาน: อาจช่วยลดความเสี่ยงจากการแกว่งของตลาดระยะสั้น และยืนยันกับแนวคิดการลงทุนแบบธุรกิจระยะยาว
- ภาษี: ในบางประเทศ กำไรจากการขายสินทรัพย์ที่ถือมานานกว่าระยะเวลาที่กำหนดอาจได้รับส่วนลดหรือส่วนยกเว้นจากภาษี
ข้อเสียของ Long Position (Buy)
-
- ความเสี่ยงจากราคาลดลง: ถ้าราคาสินทรัพย์ลดลง คุณจะสูญเสียเงิน
- การลงทุนระยะยาว: การถือ Long Position บางครั้งอาจต้องใช้เวลานานในการเห็นผลกำไร ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะสั้น
- ค่าธรรมเนียมและภาษี: คุณอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการซื้อและขาย รวมถึงภาษีจากกำไรที่ได้รับ
- เลือกไม่ถูก: หากเลือกหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ไม่ดี คุณอาจจะไม่ได้รับประโยชน์แม้ว่าตลาดโดยรวมจะเติบโต
- ส่วนใหญ่ไม่มีการป้องกัน: ไม่เหมือนกับข้อเสนออื่น ๆ ที่มีองค์ประกอบการป้องกันเสี่ยงหรือเลเวอร์เรจ การถือ Long Position โดยตรงนั้นมีความเสี่ยงเต็มที่ของมัน
ตัวอย่าง Long Position (Buy)
ตัวอย่างการทำ Long Position (Buy) ในหุ้นของบริษัท XYZ ดังนี้
ขั้นตอน 1: วิจัยและวิเคราะห์
หลังจากวิเคราะห์รายงานการเงิน ข่าว และแนวโน้มของบริษัท XYZ คุณมั่นใจว่าหุ้นของบริษัทนี้จะเพิ่มมูลค่าในอนาคต
ขั้นตอน 2: ตัดสินใจ
คุณตัดสินใจซื้อ 100 หุ้นของบริษัท XYZ ณ ราคา $50 ต่อหุ้น
ขั้นตอน 3: เปิดบัญชีและโอนเงิน
คุณมีบัญชีที่โบรกเกอร์แล้ว และได้โอนเงินจำนวน $5,000 (100 หุ้น x $50) ไปยังบัญชี
ขั้นตอน 4: ปรับแต่งพอร์ตโฟลิโอ
บัญชีของคุณเตรียมพร้อมแล้วสำหรับการซื้อหุ้น
ขั้นตอน 5: สั่งซื้อ
คุณใช้แพลตฟอร์มการลงทุนของโบรกเกอร์เพื่อสั่งซื้อ 100 หุ้นของ XYZ ณ ราคา $50 ต่อหุ้น ผ่าน Market Order
ขั้นตอน 6: จัดการความเสี่ยง
คุณตั้ง Stop-Loss Order ณ ราคา $45 ต่อหุ้น ถ้าหุ้นลดลงจนถึงราคานี้ คำสั่งจะถูกทำให้และหุ้นจะถูกขายออก
ขั้นตอน 7: ติดตามและประเมินผล
คุณติดตามราคาหุ้นและข่าวสารของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ
ขั้นตอน 8: ขายหรือถือต่อ
หลังจากหนึ่งปี ราคาหุ้นของ XYZ ได้เพิ่มขึ้นเป็น $60 ต่อหุ้น คุณตัดสินใจขายทั้งหมด
ขั้นตอน 9: ปิดหรือจัดการ Long Position
คุณสั่งขาย 100 หุ้นของ XYZ ณ ราคา $60 ต่อหุ้น ผ่าน Market Order
ขั้นตอน 10: วิเคราะห์และปรับปรุง
คุณได้กำไร $1,000 (ไม่รวมค่าธรรมเนียมและภาษี) และวิเคราะห์เพื่อดูว่าอะไรทำให้คุณประสบความสำเร็จ และอะไรที่ควรปรับปรุงสำหรับการลงทุนในอนาคต
หมายเหตุ
ตัวอย่างนี้เป็นเพียงสถานการณ์ที่สมมุติ ความเสี่ยงในการลงทุนเสมอมีอยู่ และคุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน