Bull Bear Power indicator คืออะไร
เครื่องมือ Bull และ Bear Power Indicator คือ เครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้สำหรับวัดแรงของแท่งราคาในการขาขึ้น (Bulls) และการขาลง (Bears) ในระยะเวลาที่กำหนด โดยมีการคิดค้นขึ้นโดย Alexander Elder และมักจะใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เพื่อทำนายแนวโน้มและให้สัญญาณซื้อหรือขายบนตลาดหลักทรัพย์ การคำนวณ Bull Power นำค่า Low ของแท่งราคาลบด้วย EMA (Exponential Moving Average) ของ Low ในระยะเวลาที่กำหนด ส่วน Bear Power คำนวณโดยการหัก EMA ของ Low จากค่า Low ของแท่งราคาในระยะเวลาเดียวกัน ค่า Bull Power ที่มีค่าเพิ่มขึ้นแสดงถึงแรงขับของ Bulls ที่เริ่มเพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่า Bear Power ที่มีค่าลดลงแสดงถึงแรงขับของ Bears ที่เริ่มลดลง
หนึ่งในจุดเด่นของ Bull Bear Power คือความสามารถในการให้สัญญาณแนวโน้มที่ชัดเจน มันช่วยให้คุณรับรู้เมื่อ Bulls หรือ Bears เริ่มที่จะสูญเสียความแข็งแกร่งหรือเมื่อพวกเขาเริ่มควบคุมการเคลื่อนไหวของราคา ถ้าค่า Bull Power ยังคงเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าแรงขับของ Bulls ยังคงมีอยู่ แต่ถ้าคุณเห็นค่า Bear Power เริ่มจากค่าลบและเพิ่มขึ้นเป็นค่าบวก นี่ถือเป็นสัญญาณว่า Bears กำลังสูญเสียความแข็งแกร่งของตัวเอง ทั้งยังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการวัดแรงขับของ Bulls และ Bears ในช่วงเวลาที่ระบุ และสามารถนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเทรดที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์และเทคนิคอื่นๆ มันช่วยให้คุณตัดสินใจในการเทรดที่มีประสิทธิภาพและมีความมั่นใจในการตัดสินใจของคุณได้ง่ายยิ่งขึ้น
ประวิติความเป็นมา Bull Bear Power Indicator
Bull และ Bear Power Indicator ถูกพัฒนาขึ้นโดย Alexander Elder, นักวิเคราะห์ทางเทคนิคและผู้เขียนหนังสือเรื่องการลงทุนที่มีชื่อเสียงในวงการการเงิน อินดิเคเตอร์เหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของตลาดหลักทรัพย์เพื่อช่วยในการตัดสินใจการซื้อขาย ความเป็นมาของ Bull และ Bear Power Indicator ได้แต่งตั้งมาเพื่อให้นักลงทุนมีเครื่องมือที่ช่วยในการติดตามแรงขับของ “Bulls” และ “Bears” ในตลาด
โดย Alexander Elder: Alexander Elder เป็นนักวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีความรู้และประสบการณ์ในการลงทุนมากมาย โดยเขาเริ่มเรียนรู้และวิจัยเกี่ยวกับตลาดการเงินตั้งแต่ช่วงก่อนที่จะเป็นแพทย์ หลังจากนั้นเขาได้เริ่มทำงานในวงการการเงินและเป็นนักเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนและการซื้อขาย. หนังสือเขา “Trading for a Living” และ “Come into My Trading Room” เป็นหนังสือที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมมากในวงการการเงิน ซึ่งการคิดค้นของ Bull และ Bear Power Indicator เกิดขึ้นจากความต้องการในการวัดแรงขับของ Bulls และ Bears ในตลาด โดยการใช้ค่า EMA (Exponential Moving Average) ร่วมกับราคาต่ำสุดของแท่งราคา และการลบค่า EMA จากราคาต่ำสุดเพื่อให้ได้ค่า Bull Power และ Bear Power ตามลำดับ
สูตรการคำนวณ Bull Bear Power Indicator
Bull และ Bear Power Indicator คำนวณค่าได้ดังนี้:
Bull Power = ราคาต่ำสุดของแท่งราคา – EMA (Exponential Moving Average) ของราคาต่ำสุดในระยะเวลาที่กำหนด
Bear Power = EMA (Exponential Moving Average) ของราคาต่ำสุดในระยะเวลาที่กำหนด – ราคาต่ำสุดของแท่งราคา
คุณต้องกำหนดระยะเวลาที่คุณต้องการใช้ในการคำนวณ EMA และคำนวณค่า Bull และ Bear Power ตามขั้นตอนด้านล่าง:
- คำนวณค่า EMA ของราคาต่ำสุดในระยะเวลาที่กำหนด:
- เริ่มต้นด้วยการเลือกระยะเวลาที่คุณต้องการใช้ในการคำนวณ EMA (ยกตัวอย่างเช่น 14 วัน).
- หาค่า EMA ของราคาต่ำสุดในระยะเวลานั้นๆ โดยใช้สูตร EMA ธรรมดา หรือโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีในหลายๆ แพลตฟอร์มการซื้อขาย หรือสูตรการคำนวณ EMA ดังนี้
- เริ่มต้นโดยหาค่าเริ่มต้น (Initial EMA) ซึ่งมักจะใช้เป็นค่าเฉลี่ยของข้อมูลในชุดข้อมูลแรก ๆ ในระยะเวลาที่กำหนด (ยกตัวอย่างเช่น 14 วันแรกของราคาปิดหุ้น).
- คำนวณค่าเริ่มต้นให้เป็นค่า EMA เริ่มต้น:
- EMA(1) = ค่าเริ่มต้น
- คำนวณค่า EMA สำหรับข้อมูลต่อไป:
- EMA(i) = (ค่าปิดราคา(i) – EMA(i-1)) * (2 / (n + 1)) + EMA(i-1)
โดยที่:
- EMA(i) คือค่า EMA ในวันที่ i.
- ค่าปิดราคา(i) คือราคาปิดในวันที่ i.
- EMA(i-1) คือค่า EMA ในวันก่อนหน้า (ยกเว้นในวันแรกที่ใช้ค่าเริ่มต้น).
- n คือ ระยะเวลาที่กำหนดสำหรับ EMA (ยกตัวอย่างเช่น 14 วัน).
การคำนวณ EMA จะต้องทำซ้ำขั้นตอนนี้สำหรับข้อมูลทั้งหมดในชุดข้อมูลของคุณเพื่อหาค่า EMA สำหรับทุกวันในชุดข้อมูล.
- คำนวณค่า Bull Power:
- ลบค่า EMA ของราคาต่ำสุดที่คำนวณได้ในขั้นที่ 1 จากราคาต่ำสุดของแท่งราคาปัจจุบัน.
- คำนวณค่า Bear Power:
- ลบราคาต่ำสุดของแท่งราคาปัจจุบันจากค่า EMA ของราคาต่ำสุดที่คำนวณได้ในขั้นที่ 1.
เมื่อคุณได้ค่า Bull Power และ Bear Power แล้ว ค่าเหล่านี้จะช่วยให้คุณรับรู้แรงขับของ Bulls และ Bears ในตลาด ค่า Bull Power ที่มีค่าบวกสูงๆ ระบบส่งเสริมแสดงถึงแรงขับของ Bulls ที่มีอิทธิพลในการเพิ่มราคา ในขณะที่ค่า Bear Power ที่มีค่าลบแสดงถึงแรงขับของ Bears ที่มีอิทธิพลในการลดราคาลง.
การใช้งาน Bull และ Bear Power Indicator ในการวิเคราะห์ Forex
การใช้งาน Bull Bear Power Indicator ในการวิเคราะห์และการเทรด Forex สามารถเขียนเป็นขั้นตอนง่ายๆ ได้ดังนี้:
การตั้งค่า Indicator
- เปิดกราฟในแพลตฟอร์มการซื้อขายที่คุณใช้ เช่น MetaTrader.
- ไปที่เมนู “Indicator” หรือ “อินดิเคเตอร์” และเลือก “Bull Bear Power” หรือชื่อที่คล้ายกัน.
- ในการตั้งค่า Bull Bear Power Indicator, คุณสามารถปรับระยะเวลาของ EMA ที่ใช้ในการคำนวณ Bull Power และ Bear Power โดยทั่วไปจะใช้ค่าเริ่มต้นเป็น 13 หรือ 14 วัน.
การอ่านสัญญาณ
การอ่านสัญญาณจาก Bull Bear Power Indicator มีความสำคัญเพื่อตัดสินใจการเทรดในตลาด Forex ให้เหมาะสม ดังนี้คือวิธีการอ่านสัญญาณของ Indicator เหล่านี้:
- Bull Power (แรงขับของ Bulls):
- ค่า Bull Power ที่มีค่าบวกและเพิ่มขึ้น: สัญญาณที่ดีในการซื้อหรือเพิ่มสัดส่วนการถือครองในคู่เงิน Forex นั้นๆ.
- ค่า Bull Power ที่เป็นบวกและลดลง: สัญญาณที่ดีในการระมัดระวังหรือรอ เนื่องจาก Bulls อาจเริ่มสูญเสียแรงขับ.
- ค่า Bull Power ที่เป็นลบหรือไม่มีความเปลี่ยนแปลง: อาจแสดงถึงตลาดที่แออัดหรือซึ่งกำลังดำเนินตามแนวโน้มปัจจุบัน.
- Bear Power (แรงขับของ Bears):
- ค่า Bear Power ที่เป็นบวกและเพิ่มขึ้น: สัญญาณที่ดีในการขายหรือลดสัดส่วนการถือครองในคู่เงิน Forex นั้นๆ.
- ค่า Bear Power ที่เป็นบวกและลดลง: สัญญาณที่ดีในการระมัดระวังหรือรอ เนื่องจาก Bears อาจเริ่มสูญเสียแรงขับ.
- ค่า Bear Power ที่เป็นลบหรือไม่มีความเปลี่ยนแปลง: อาจแสดงถึงตลาดที่แออัดหรือซึ่งกำลังดำเนินตามแนวโน้มปัจจุบัน.
การใช้ในการเทรด
- เมื่อ Bull Power เพิ่มขึ้น: นี่เป็นสัญญาณที่ดีในการซื้อ, แต่ควรใช้ร่วมกับ Indicator อื่นๆ หรือเช็คค่า Volume เพื่อยืนยัน.
- เมื่อ Bear Power เพิ่มขึ้น: นี่เป็นสัญญาณที่ดีในการขาย, ในกรณีนี้ควรใช้ร่วมกับ Indicator อื่นๆ หรือ Volume เช่นเดียวกัน.
- เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม: หาก Bear Power เปลี่ยนจากค่าลบเป็นบวกหรือ Bull Power เพิ่มขึ้น, นี่อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มของตลาดกำลังเปลี่ยนแปลง คุณควรตรวจสอบสัญญาณอื่นๆ และใช้เทคนิคการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจการเทรด.
การใช้ Stop-Loss และ Take-Profit
- อย่าลืมตั้งค่า Stop-Loss และ Take-Profit เพื่อจัดการความเสี่ยงในการเทรด โดยวิธีการใช้งาน SL และ TP ในการเทรดStop-Loss (SL):
- กำหนด SL ด้วยหลักการความเสี่ยง: คุณควรกำหนดระดับ SL ด้วยหลักการความเสี่ยงที่คุณพร้อมรับผิดชอบ. ตัวอย่างเช่น, คุณอาจตั้ง SL ที่ระดับไม่เกิน 1-2% ของสินทรัพย์ทั้งหมดในบัญชีการเทรดของคุณสำหรับแต่ละการเทรด.
- วาง SL ในบริเวณที่เหมาะสม: คุณควรวาง SL ให้ห่างออกจากราคาปัจจุบันในบริเวณที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความคล่องตัวของตลาดและระดับรับขายที่สำคัญ. อย่าให้ SL อยู่ใกล้เกินไปกับราคาปัจจุบันเพื่อป้องกันการถูกแผนที่โดยสัมผัสและควรคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่ราคาจะเคลื่อนที่ในระดับที่คุณตั้ง SL.
- การจัดการ SL: หลังจากที่คุณตั้ง SL, คุณควรรักษาการตรวจสอบและปรับ SL ตามความเหมาะสมเมื่อตลาดเคลื่อนที่ แต่ระวังไม่ให้ SL อยู่ใกล้เกินไปกับราคาปัจจุบันหรือเกินระดับรับขายที่สำคัญ.
Take-Profit (TP):
- กำหนด TP ตามเป้าหมายกำไร: คุณควรกำหนด TP ตามเป้าหมายกำไรที่คุณต้องการในการเทรด. แนะนำให้มีเป้าหมายกำไรและระยะเวลาที่คุณคาดหวังการทำกำไรเพื่อช่วยให้คุณกำหนดระดับ TP ได้อย่างเหมาะสม.
- วาง TP ในบริเวณที่เหมาะสม: คุณควรวาง TP ในบริเวณที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงระดับรับขายที่สำคัญ และควรให้ TP อยู่ในระยะห่างที่สามารถทำกำไรได้อย่างเหมาะสม.
- การจัดการ TP: เมื่อราคาไปถึงระดับ TP คุณควรทำการเปิดออร์เดอร์ให้ TP ถูกเรียก และรับกำไรของคุณ. แต่ระวังอย่าเปลี่ยนแปลงระดับ TP หากไม่มีเหตุจำเป็น และควรคำนึงถึงการรักษาอัตราส่วนความเสี่ยงต่อกำไร.
- ข้อมูลจาก Indicator เหล่านี้อาจมีความล่าช้า (Lagging) ทำให้สัญญาณที่ได้ไม่ใช่ Real-Time. ควรใช้ร่วมกับ Indicator และเทคนิคการวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อประสิทธิภาพมากยิ่ง.
- ควรทดสอบและปรับแต่ง Indicator ให้เหมาะกับรูปแบบตลาดและความต้องการของคุณก่อนใช้ในการเทรดจริง (Backtesting).