Economics indicator คืออะไร
“ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ” (Economic Indicator) คือ ข้อมูลหรือตัวเลขที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพหรือสถานะของเศรษฐกิจ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมักจะถูกใช้เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและพยากรณ์การเติบโตหรือค่าเสื่อมของเศรษฐกิจในระยะยาวและระยะสั้น นอกจากนี้ยังช่วยในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจและการตัดสินใจของภาคธุรกิจ
ประเภทของ Economics indicator
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจโดยทั่วไปถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. ตัวชี้วัดนำ (Leading Indicators)
เป็นตัวชี้วัดที่มักจะเปลี่ยนแปลงก่อนที่เศรษฐกิจโดยรวมจะเปลี่ยน มักใช้ในการทำนายการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้มีความแม่นยำเสมอ ตัวอย่างเช่น ผลตอบแทนจากตลาดหุ้น จำนวนธุรกิจใหม่ที่เริ่มต้น และจำนวนผู้ที่ยื่นขอรับเงินสวัสดิการเพราะว่าเป็นผู้ว่างงาน
2. ตัวชี้วัดล่า (Lagging Indicators)
เป็นตัวชี้วัดที่มักจะเปลี่ยนแปลงหลังจากที่เศรษฐกิจโดยรวมเปลี่ยนแปลง ไม่เหมาะสำหรับใช้ในการทำนายการเคลื่อนไหวในอนาคต แต่เป็นตัวยืนยันรูปแบบหรือแนวโน้ม ตัวอย่างเช่น อัตราการงาน กำไรของบริษัท และต้นทุนแรงงานต่อหน่วยผลิต
3. ตัวชี้วัดร่วม (Coincident Indicators)
เป็นตัวชี้วัดที่เกิดขึ้นในเวลาที่ประมาณกันกับเงื่อนไขที่พวกเขาแสดง ให้ภาพถ่ายของเศรษฐกิจในเวลาจริง และมักใช้สำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ในประเทศกลาง (GDP) การผลิตอุตสาหกรรม และรายได้ส่วนบุคคล
Economics indicator สำคัญต่อตลาด Forex อย่างไร
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมีบทบาทสำคัญในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเทรดเดอร์และอารมณ์ของตลาด เทรดเดอร์ฟอเร็กซ์จะติดตามตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงิน ซึ่งจะสะท้อนถึงสุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงมีความสำคัญ:
1. อัตราดอกเบี้ย
ธนาคารกลาง เช่น Federal Reserve ในสหรัฐอเมริกาหรือธนาคารกลางยุโรปเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นกับอัตราเหล่านี้จะได้รับการตรวจสอบโดยเทรดเดอร์ Forex อัตราดอกเบี้ยที่สูงมักจะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีที่สุด ซึ่งในทางกลับกัน จะมีมูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้นมากขึ้น ในทางกลับกัน อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงโดยทั่วไปจะกีดกันการลงทุนจากต่างประเทศ ส่งผลให้สกุลเงินสูญเสียมูลค่า
2. อัตราเงินเฟ้อ
อัตราเงินเฟ้อส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อ อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำและคงที่เป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากพวกเขารักษามูลค่าของผลตอบแทนจากการลงทุนของพวกเขา อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำมักเกี่ยวข้องกับความต้องการพันธบัตรของประเทศนั้น ๆ ที่สูง และด้วยเหตุนี้ ความต้องการสกุลเงินของประเทศนั้น ๆ จึงเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น
3. ข้อมูลการจ้างงาน
ตัวเลขการจ้างงาน เช่น การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐอเมริกา หรืออัตราการว่างงานทั่วไป มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประเมินภาวะทางเศรษฐกิจ การจ้างงานที่มากขึ้นหมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนำไปสู่การใช้จ่ายและการลงทุนของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ผลกระทบแบบโดมิโนนี้ทำให้ค่าเงินแข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากเป็นการบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและกำลังเติบโต
4. ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
GDP วัดผลผลิตทางเศรษฐกิจทั้งหมดของประเทศ และเป็นวิธีการประเมินสถานะทางการเงินของประเทศอย่างครอบคลุม GDP ที่เพิ่มขึ้นมักจะนำไปสู่การคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
5. ดุลการค้า
ประเทศที่ส่งออกมากกว่าการนำเข้าจะมีการเกินดุลการค้า โดยทั่วไปนำไปสู่ค่าเงินที่แข็งแกร่ง เนื่องจากต่างประเทศที่ซื้อการส่งออกจะต้องใช้สกุลเงินของประเทศเพื่อทำธุรกรรมให้เสร็จสิ้น ในทางกลับกัน การขาดดุลการค้ามักทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
6. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระดับสูงบ่งชี้ว่าผู้บริโภคเต็มใจที่จะใช้จ่ายและลงทุน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่อผู้บริโภคมั่นใจ พวกเขามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การแข็งค่าของสกุลเงินของประเทศเนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
7. เสถียรภาพทางการเมือง
แม้จะไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจอย่างเคร่งครัด แต่เสถียรภาพทางการเมืองก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ความไม่แน่นอนทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง การกล่าวโทษ หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ สามารถสร้างความผันผวนในตลาดสกุลเงินได้
8. กิจกรรมระดับโลก
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การโจมตีของผู้ก่อการร้าย และเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ สามารถสร้างความไม่แน่นอนและอาจผลักดันให้นักลงทุนหันมาใช้สกุลเงินที่ “ปลอดภัย” เช่น ดอลลาร์สหรัฐหรือทองคำ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาด Forex
9. คู่สกุลเงิน
ตลาดฟอเร็กซ์ดำเนินการโดยใช้หลักการของคู่สกุลเงิน (เช่น USD/EUR) เทรดเดอร์จำเป็นต้องพิจารณาตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจจากทั้งสองประเทศที่เกี่ยวข้องกับคู่สกุลเงิน เนื่องจากแต่ละฝ่ายมีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยน
10. ความเชื่อมั่นของตลาด
การตีความข้อมูลทางเศรษฐกิจยังขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของตลาดด้วย ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเสมอไป แรงกดดันในการเก็งกำไรสามารถผลักดันสกุลเงินให้ห่างจาก “มูลค่าที่แท้จริง” โดยพิจารณาจากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
ข่าวสำคัญของ Economics indicator มีอะไรบ้าง
ในบริบทของการซื้อขายฟอเร็กซ์ เช่นเดียวกับตลาดการเงินอื่นๆ มีตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญหลายประการและเหตุการณ์ข่าวที่เทรดเดอร์ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด ตัวบ่งชี้เหล่านี้อาจมีผลกระทบอย่างมากต่อมูลค่าสกุลเงินและปริมาณการซื้อขาย ดังต่อไปนี้
1. ประกาศอัตราดอกเบี้ย
-
- เหตุใดจึงสำคัญ: อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือหลักสำหรับธนาคารกลางในการควบคุมนโยบายการเงิน ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการกู้ยืมและผลตอบแทนจากการออม ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและองค์กร
- ผลกระทบ: เมื่อประเทศขึ้นอัตราดอกเบี้ย มักจะดึงดูดเงินทุนต่างประเทศที่มองหาผลตอบแทนจากการลงทุนสูงสุด และทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น อัตราที่ต่ำกว่ามักนำไปสู่การไหลออกของเงินทุนและค่าเงินที่อ่อนค่าลง
2. ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
-
- เหตุใดจึงสำคัญ: GDP เป็นตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศที่ครอบคลุมทั้งหมด ซึ่งสะท้อนถึงมูลค่ารวมของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตในช่วงเวลาที่กำหนด
- ผลกระทบ: GDP ที่เพิ่มขึ้นบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น GDP ที่ลดลงอาจทำให้การลงทุนลดลงและทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
3. อัตราการว่างงาน
-
- เหตุใดจึงสำคัญ: อัตราการว่างงานเป็นภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจของประเทศ อัตราที่ต่ำบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังไปได้ดีและให้โอกาสแก่คนงาน ในขณะที่อัตราที่สูงอาจบ่งบอกถึงปัญหาทางเศรษฐกิจ
- ผลกระทบ: การว่างงานที่ต่ำมักนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น การว่างงานที่สูงทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคอ่อนตัวลง และอาจส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
4. ข้อมูลเงินเฟ้อ
-
- เหตุใดจึงสำคัญ: อัตราเงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของสกุลเงิน ธนาคารกลางมักจะปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อคงที่และต่ำ
- ผลกระทบ: โดยทั่วไปแล้ว อัตราเงินเฟ้อปานกลางถือเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต แต่อัตราเงินเฟ้อที่สูงจะกัดกร่อนมูลค่าที่แท้จริงของสกุลเงิน ส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
5. ดุลการค้า
-
- เหตุใดจึงสำคัญ: ดุลการค้าช่วยให้ทราบถึงสถานภาพของภาคการผลิตของประเทศและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
- ผลกระทบ: การเกินดุลการค้า (การส่งออกมากกว่าการนำเข้า) ทำให้เกิดความต้องการใช้สกุลเงินของประเทศ ซึ่งอาจเพิ่มมูลค่าได้ การขาดดุลการค้า (การนำเข้ามากกว่าการส่งออก) โดยทั่วไปจะนำไปสู่การกู้ยืมและการอ่อนค่าของสกุลเงิน
6. บัญชีเงินเดือนนอกภาคเกษตร (เฉพาะสหรัฐอเมริกา)
-
- เหตุใดจึงสำคัญ: ในสหรัฐอเมริกา ข้อมูล Non-Farm Payroll ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด เนื่องจากแสดงถึงการจ้างงานจำนวนมาก และความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคก็เพิ่มขึ้นด้วย
- ผลกระทบ: ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงมักนำไปสู่แนวโน้มขาขึ้นของเงินดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ตัวเลขที่ต่ำอาจส่งผลให้ตลาดตกต่ำ
7. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
-
- เหตุใดจึงสำคัญ: ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสะท้อนถึงระดับการมองโลกในแง่ดีที่ผู้บริโภครู้สึกเกี่ยวกับสถานะโดยรวมของเศรษฐกิจและสถานะทางการเงินของพวกเขา
- ผลกระทบ: ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สูงมักจะนำไปสู่การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอาจทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น โดยทั่วไปความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ต่ำจะมีผลตรงกันข้าม
8. การขายปลีก
-
- เหตุใดจึงสำคัญ: ข้อมูลยอดค้าปลีกเป็นตัววัดการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ
- ผลกระทบ: ตัวเลขยอดค้าปลีกที่สูงบ่งชี้ถึงความต้องการของผู้บริโภคที่แข็งแกร่งและสุขภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น ในทางกลับกัน ยอดขายปลีกที่ต่ำอาจส่งผลให้เศรษฐกิจหดตัวและค่าเงินอ่อนค่าลง
9. ข้อมูลการผลิต
-
- เหตุใดจึงสำคัญ: ข้อมูลนี้สะท้อนถึงสถานภาพของภาคการผลิต ซึ่งมีความสำคัญต่อการส่งออกและการเติบโตในประเทศ ดัชนีเช่น PMI (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ) ให้ข้อมูลเชิงลึกอย่างรวดเร็ว
- ผลกระทบ: ข้อมูลการผลิตที่แข็งแกร่งบ่งบอกถึงภาวะทางเศรษฐกิจ ซึ่งมักจะช่วยส่งเสริมค่าเงินของประเทศ ข้อมูลที่อ่อนแอ ซึ่งบ่งชี้ถึงการผลิตที่ลดลงและการจ้างงานในภาคการผลิต มักจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
10. เหตุการณ์ทางการเมือง
-
- เหตุใดจึงสำคัญ: เสถียรภาพทางการเมืองเป็นรากฐานสำคัญของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เหตุการณ์ต่างๆ เช่น การเลือกตั้ง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงนโยบายอาจทำให้เกิดความผันผวนได้
- ผลกระทบ: พัฒนาการทางการเมืองเชิงบวก (เช่น การเลือกตั้งโดยสันติ การแก้ไขข้อขัดแย้ง) มักจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น ในขณะที่ความไม่แน่นอนหรือการพัฒนาเชิงลบมักจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
ตัวอย่าง Economics indicator
ขอยกตัวอย่างของตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ (Economic Indicators) ดังนี้
- ผลิตภัณฑ์ในประเทศกลาง (GDP): มูลค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตภายในประเทศ ใช้วัดขนาดและสุขภาพของเศรษฐกิจ มีส่วนประกอบคือ การบริโภค การลงทุนการใช้จ่ายของรัฐบาล และการส่งออกลบการนำเข้า
- อัตราการงาน (Unemployment Rate): เป็นเปอร์เซนต์ของประชากรที่สามารถทำงานแต่ไม่มีงาน อัตราการงานที่สูงส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน
- อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate): วัดการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการโดยรวม มีผลต่ออัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน
- ยอดขายปลีก: วัดระดับการบริโภคของผู้บริโภค ถ้ายอดขายปลีกสูง จะเป็นสัญญาณที่แสดงถึงสุขภาพของเศรษฐกิจ
- ผลประกอบการของอุตสาหกรรม: อัตราการใช้ซื้อของประชาชนในภาคอุตสาหกรรม สะท้อนถึงการขยายตัวหรือการหดตัวของภาคผลิต
- การเสียภาษี: การเก็บรายได้ภาษีจะช่วยให้รัฐบาลมีเงินใช้ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ และส่งผลต่อการกระจายรายได้
- อัตราดอกเบี้ย: จะถูกใช้โดยธนาคารกลางเพื่อควบคุมเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยที่สูงหรือต่ำมีผลต่อค่าเงินของประเทศ
- ยอดส่งออกและนำเข้า: เป็นตัวชี้วัดของปริมาณสินค้าและบริการที่ส่งออกและนำเข้า งบการค้าที่ดีสะท้อนถึงความสามารถในการส่งออกของประเทศ
- ดัชนีราคาหุ้น: ระดับของตลาดหุ้นเป็นตัวชี้วัดที่ใช้วัดความมั่งคั่งและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ: วัดความคาดหวังหรือความเชื่อมั่นในอนาคตของเศรษฐกิจจากมุมมองของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ