indicator forex คืออะไร มีอะไรบ้าง ที่นิยมใช้ แม่นยำที่สุด

Indicator Forex คืออะไร

Indicator Forex หรือ “ตัวชี้วัด Forex” คือเครื่องมือทางเทคนิคที่นักเทรดใช้เพื่อช่วยวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของราคาในตลาด Forex. ตัวชี้วัดเหล่านี้ทำหน้าที่สำคัญในการประเมินแนวโน้ม, ความแรง, และความผันผวนของราคา, ช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการซื้อหรือขายสกุลเงินได้ด้วยการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

Indicator คืออะไร
Indicator คืออะไร

Indicator Forex มีกี่กลุ่ม

ตัวชี้วัด Forex สามารถแบ่งได้เป็นหลายกลุ่มตามฟังก์ชันและการประยุกต์ใช้งาน, กลุ่มหลักๆ ได้แก่:

  1. ตัวชี้วัดแนวโน้ม (Trend Indicators):
  2. ตัวชี้วัดความผันผวน (Volatility Indicators):
  3. ตัวชี้วัดแรงซื้อ-ขาย (Momentum Indicators):
  4. ตัวชี้วัดปริมาณการซื้อขาย (Volume Indicators):
    • เช่น Volume, Money Flow Index (MFI), On-Balance Volume (OBV), Accumulation/Distribution Line
  5. ตัวชี้วัดลักษณะเฉพาะของตลาด (Market-specific Indicators):
    • ตัวชี้วัดที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับสถานการณ์หรือตลาดเฉพาะ อาจจะเป็นตัวชี้วัดที่ดูการเคลื่อนไหวของสกุลเงินหรือสินค้าเฉพาะ

ข้อดี

  1. ช่วยในการตัดสินใจ: ตัวชี้วัดมักจะให้สัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับเวลาที่ควรซื้อหรือขาย.
  2. ลดปัจจัยความรู้สึก: การตัดสินใจโดยใช้ตัวชี้วัดช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้เทรด.
  3. ยืนยันแนวโน้ม: บางตัวชี้วัดช่วยในการยืนยันแนวโน้มราคา ซึ่งทำให้ผู้เทรดมั่นใจในการตัดสินใจของตนเองมากขึ้น.
  4. ความหลากหลาย: มีตัวชี้วัดหลายๆ ประเภทที่ผู้เทรดสามารถเลือกใช้ตามลักษณะการเทรดและแนวคิดของตนเอง.

ข้อเสีย

  1. การส่งสัญญาณที่ผิดพลาด: บางตัวชี้วัดอาจส่งสัญญาณที่ผิดพลาด (false signals) ทำให้ผู้เทรดเสียเงิน.
  2. ล่าช้า: ตัวชี้วัดบางตัวอาจจะเกิดการล่าช้า และไม่สามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ทันท่วงที.
  3. การซ้อนทับ: การใช้ตัวชี้วัดหลายๆ ตัวพร้อมกันอาจทำให้เกิดความซ้อนทับและสับสน.
  4. ความซับซ้อน: บางตัวชี้วัดมีความซับซ้อนและอาจต้องการความเข้าใจและประสบการณ์เฉพาะเจาะจง.
  5. ความไวเกินไป: ตัวชี้วัดบางตัวอาจจะเกินไปในการตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวของราคา ทำให้ส่งสัญญาณออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นชัดเจนว่าตลาดเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจริงๆ หรือไม่.

Trend Indicators ที่นิยมมีดังนี้

Trend Indicators หรือตัวชี้วัดแนวโน้มเป็นเครื่องมือที่ช่วยระบุและติดตามแนวโน้มของราคาในตลาด. การเข้าใจแนวโน้มเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเทรดเนื่องจาก “การเทรดตามแนวโน้ม” เป็นหลักการพื้นฐานในการเทรดที่มีประสิทธิภาพ

indicator ในการวิเคราะห์เทรนด์

  1. Moving Averages (MA)
    • ประเภท: Simple Moving Average (SMA), Exponential Moving Average (EMA), Weighted Moving Average (WMA)
    • วิธีการใช้งาน: เมื่อราคาอยู่เหนือ MA แสดงว่ามีแนวโน้มขาขึ้น; ถ้าอยู่ใต้ MA แสดงว่ามีแนวโน้มขาลง. การตัดกันระหว่าง MA ที่มีระยะเวลาต่างกันสามารถใช้เป็นสัญญาณซื้อหรือขาย.
  2. Moving Average Convergence Divergence (MACD)
    • วิธีการใช้งาน: ประกอบด้วยเส้น MACD และเส้นสัญญาณ. เมื่อเส้น MACD ตัดเส้นสัญญาณจากล่างขึ้นเป็นสัญญาณซื้อ; แต่ถ้าตัดจากด้านบนลงมาเป็นสัญญาณขาย.
  3. Parabolic SAR (Stop and Reverse)
    • วิธีการใช้งาน: จุด Parabolic SAR อยู่เหนือราคาเป็นสัญญาณแนวโน้มขาลง; อยู่ใต้ราคาเป็นสัญญาณแนวโน้มขาขึ้น.
  4. ADX (Average Directional Movement Index)
    • วิธีการใช้งาน: ค่า ADX สูงแสดงว่าราคามีแนวโน้มชัดเจน (ไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลง). ค่า ADX ต่ำแสดงว่าราคาไม่มีแนวโน้มชัดเจน.

Volatility Indicators ที่นิยมมีดังนี้

Volatility Indicators ตัวชี้วัดความผันผวน เป็นเครื่องมือที่ช่วยวัดความผันผวนของราคาในตลาด ความผันผวนสูงสามารถบ่งบอกถึงความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในตลาด ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับนักเทรด

Volatility
Volatility
  1. Bollinger Bands
    • วิธีการใช้งาน: ประกอบด้วย 3 เส้น: เส้นกลาง (SMA), เส้นบน, และเส้นล่าง. เมื่อราคาเข้าใกล้หรือข้ามเส้นบนหรือล่าง, ส่งสัญญาณว่าราคาอาจกลับเข้ามาในแนวโน้มปกติ. ความกว้างระหว่างเส้นบนและล่างบ่งบอกถึงความผันผวนของราคา.
  2. Average True Range (ATR)
    • วิธีการใช้งาน: ATR วัดความผันผวนของราคาโดยพิจารณาจากราคาสูงสุด, ราคาต่ำสุด, และราคาปิด. ค่า ATR ที่สูงบ่งบอกถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาด.
  3. Donchian Channels
    • วิธีการใช้งาน: ประกอบด้วย 2 เส้น: เส้นบนคือราคาสูงสุดในระยะเวลาที่กำหนด, เส้นล่างคือราคาต่ำสุด. เมื่อราคาข้ามเส้นบน ส่งสัญญาณซื้อ; ถ้าข้ามเส้นล่าง ส่งสัญญาณขาย

Momentum Indicators ที่นิยมมีดังนี้

Momentum Indicators หรือตัวชี้วัดแรงดัน ช่วยระบุความแรงของแนวโน้มราคาและหาจุดที่ราคาอาจจะกลับตัวหรือต่อเนื่องตามแนวโน้ม. มันช่วยเตือนภัยถึงการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มก่อนที่มันจะแสดงในการเคลื่อนไหวของราคา

  1. Relative Strength Index (RSI)
    • วิธีการใช้งาน: ตัวชี้วัดวัดระหว่างแรงซื้อและแรงขาย. ค่า RSI ที่ 70 หรือมากกว่าถือว่าเป็น “overbought”, ในขณะที่ 30 หรือน้อยกว่าถือว่า “oversold”. การเข้าใกล้หรือข้ามเครื่องหมายเหล่านี้สามารถใช้เป็นสัญญาณซื้อหรือขาย.
  2. Stochastic Oscillator
    • วิธีการใช้งาน: ประกอบด้วยสองเส้น: %K และ %D. หากสองเส้นนี้ตัดกัน สามารถใช้เป็นสัญญาณซื้อหรือขาย. คล้ายกับ RSI, มันมีเขต “overbought” และ “oversold”.
  3. Moving Average Convergence Divergence (MACD)
    • วิธีการใช้งาน: ได้รับคำอธิบายไว้แล้วในส่วนของแนวโน้ม แต่ MACD ยังถือว่าเป็นตัวชี้วัดแรงดันด้วย. การตัดกันระหว่างเส้น MACD และเส้นสัญญาณสามารถใช้เป็นสัญญาณซื้อหรือขาย.
  4. Rate of Change (ROC)
    • วิธีการใช้งาน: วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะเวลาที่กำหนด. ถ้า ROC เพิ่มขึ้น, แนวโน้มขาขึ้นกำลังแรงขึ้น; ถ้า ROC ลดลง, แนวโน้มขาลงกำลังแรงขึ้น

Volume Indicators ที่นิยมมีดังนี้

Volume Indicators หรือตัวชี้วัดปริมาณการซื้อขาย เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดปริมาณการซื้อขายในตลาดเพื่อให้เห็นถึงความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอของแนวโน้มราคา. การซื้อขายที่มีปริมาณสูงบ่งบอกถึงความสนใจสูงในการเคลื่อนไหวของราคา.

วิธีการใช้ volume indicator
วิธีการใช้ volume indicator
  1. Volume (เป็นตัวพื้นฐาน)
    • วิธีการใช้งาน: ปริมาณการซื้อขายสะท้อนถึงความสนใจของผู้ซื้อขาย. แนวโน้มราคาที่พานิชย์ด้วยปริมาณสูงมักถือว่ามีความแข็งแกร่ง.
  2. On Balance Volume (OBV)
    • วิธีการใช้งาน: วัดปริมาณการซื้อขายแบบสะสม ถ้าราคาปิดของวันนั้นสูงกว่าวันก่อน ปริมาณการซื้อขายจะถูกเพิ่มเข้าไป; ถ้าลดลง, ปริมาณการซื้อขายจะถูกลบออก. OBV เป็นตัวชี้วัดแนวโน้มปริมาณการซื้อขาย.
  3. Accumulation/Distribution Line (A/D Line)
    • วิธีการใช้งาน: คล้ายกับ OBV แต่มีการคำนวณที่ซับซ้อนขึ้นโดยพิจารณาราคาปิด, ราคาสูงสุด, และราคาต่ำสุดของแต่ละวัน.
  4. Chaikin Money Flow (CMF)
    • วิธีการใช้งาน: วัดปริมาณการซื้อขายระหว่างราคาสูงสุดและราคาต่ำสุด และวัดมันในรูปแบบของการสะสม/การจ่ายชำระ. ค่าบวกบ่งบอกถึงแรงซื้อ ในขณะที่ค่าลบบ่งบอกถึงแรงขาย

Market-specific Indicators

Market-specific Indicators เป็นตัวชี้วัดที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการซื้อขายในตลาดเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นสำหรับตลาดสินค้า, ตลาดหุ้น, หรือตลาดออฟชั่น. ตัวชี้วัดประเภทนี้มักจะมีการวิเคราะห์ที่เฉพาะเจาะจงกับเงื่อนไขตลาดดังกล่าว

ประวัติของ Commodity Channel Index
ประวัติของ Commodity Channel Index
  1. Commodity Channel Index (CCI)
    • วิธีการใช้งาน: ตัวชี้วัดนี้ถูกออกแบบมาสำหรับตลาดสินค้า, แต่ยังถูกนำไปใช้ในตลาดอื่น ๆ ด้วย. CCI วัดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของมัน. ค่าที่สูงกว่า +100 ถือว่าเป็น “overbought”, ในขณะที่ค่าที่ต่ำกว่า -100 ถือว่าเป็น “oversold”.
  2. Put/Call Ratio (PCR)
    • วิธีการใช้งาน: สำหรับตลาดออฟชั่น, PCR วัดอัตราส่วนระหว่างตัวเลือกซื้อ (Call) และตัวเลือกขาย (Put). ค่าสูงบ่งบอกถึงความระมัดระวังและความนิยมของตัวเลือกขาย, ในขณะที่ค่าต่ำบ่งบอกถึงความนิยมของตัวเลือกซื้อ.
  3. Advance/Decline Line (A/D Line)
    • วิธีการใช้งาน: สำหรับตลาดหุ้น, A/D Line วัดจำนวนหุ้นที่ขึ้นและลดราคาเมื่อเทียบกับวันก่อน. การเติบโตที่ต่อเนื่องของ A/D Line บ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้นของตลาดหุ้น

สรุป

อินดิเคเตอร์ในการเทรด Forex คือเครื่องมือทางเทคนิคที่ช่วยในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาตามประวัติย้อนหลังเพื่อทำนายแนวโน้มในอนาคต. อินดิเคเตอร์มีทั้งที่ตรวจจับแนวโน้ม, ความผันผวน, แรงขับเคลื่อน และปริมาณการซื้อขาย เพื่อใช้ร่วมกับการวิเคราะห์พื้นฐานและสัญญาณอื่น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการเทรด.

สำหรับผู้เริ่มต้น, ควรเริ่มด้วยอินดิเคเตอร์พื้นฐาน เช่น Moving Average หรือ RSI และฝึกใช้มันในโหมดการทดสอบ (demo mode) ก่อน. เมื่อคุณคุ้นเคยกับการทำงานของอินดิเคเตอร์, ควรระมัดระวังไม่ให้พึ่งพาอินดิเคเตอร์เดียว แต่ควรใช้งานมันร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อยืนยันและเสริมสัญญาณที่ได้รับ

การใช้ Indicator สามารถช่วยในการวิเคราะห์ตลาด Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การเลือกใช้ตัวชี้วัดที่เหมาะสมและการใช้มันร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เป็นสิ่งที่สำคัญ ควรทบทวนและศึกษาตัวชี้วัดก่อนใช้ในการเทรดจริง