Market Depth คืออะไร
Market Depth หรือ “ความลึกของตลาด” คือ ความเหลื่อมล้ำและความลึกของคำสั่งซื้อและขายในตลาดเฉพาะ ซึ่งมักจะแสดงผ่านรูปภาพที่เรียกว่า “Market Depth Chart” ในคำที่ง่ายๆ คือการวัดของออฟเฟอร์และดีมานด์สำหรับสินทรัพย์เฉพาะ เช่น หุ้นหรือสกุลเงินดิจิทัล ในระดับราคาที่ต่างกัน
ส่วนสำคัญของ Market Depth
Bid และ Ask
-
- Bid: ราคาที่ผู้ซื้อยินดีจะซื้อสินทรัพย์ คำสั่งเหล่านี้จะเรียงตามลำดับที่มีราคาสูงสุด (ราคาที่ผู้ซื้อยินดีจะจ่าย) อยู่ด้านบน คำสั่งเหล่านี้เรียกว่า “bid orders”
- Ask: ราคาที่ผู้ขายยินดีจะขายสินทรัพย์ คำสั่งเหล่านี้จะเรียงตามลำดับที่มีราคาต่ำสุด (ราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยินดีจะรับ) อยู่ด้านบน คำสั่งเหล่านี้เรียกว่า “ask orders”
Market Depth Chart
ชาร์ต Market Depth จะแสดงคำสั่ง bid และ ask บนสองด้านของกราฟ:
-
- แกน X แทนราคา
- แกน Y แทนปริมาณหรือปริมาตรของสินทรัพย์ในแต่ละระดับราคา
ชาร์ตมักจะมีสองด้าน:
-
- Bid slope: อยู่ด้านซ้าย มักจะปรากฏเป็นสีเขียว มันเอียงขึ้น แสดงปริมาณของคำสั่งซื้อที่สะสมขึ้นเมื่อราคาลดลง
- Ask slope: อยู่ด้านขวา มักจะปรากฏเป็นสีแดง มันเอียงลง แสดงปริมาณของคำสั่งขายที่สะสมขึ้นเมื่อราคาเพิ่มขึ้น
Order Book
-
- ข้อมูล Market Depth มักจะดึงมาจาก “order book” ของตลาด ซึ่งเป็นรายการที่อัปเดตอย่างต่อเนื่องของคำสั่งซื้อและขายในตลาดเฉพาะ
ข้อมูล Level 1 กับ Level 2
-
- Level 1 Data: แสดงเพียง bid ที่ดีที่สุด (สูงสุด) และ ask ที่ดีที่สุด (ต่ำสุด)
- Level 2 Data: แสดง order book ทั้งหมด ให้มุมมองที่ละเอียดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความลึกของตลาด ข้อมูล Level 2 มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดระยะวันและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเทรดความถี่สูง
ความสำคัญ
- สภาพคล่อง: ตลาดที่มีความลึกมากกว่า โดยทั่วไปแล้วจะมีสภาพคล่องมากกว่า ทำให้เข้าหรือออกจากตำแหน่งได้ง่ายขึ้น
- ความผันผวน: ในตลาดตื้น ซึ่งมีคำสั่งซื้อและขายน้อยลง การเคลื่อนไหวของราคาอาจมีความผันผวนมากขึ้น
- การค้นพบราคา: โดยทั่วไปแล้ว ตลาดที่ลึกกว่าจะถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าในแง่ของการค้นพบราคา
- การจัดการตลาด: ตลาดที่มีความลึกอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั่วไปแล้วจะควบคุมได้ยากกว่าตลาดที่มีความลึกน้อยกว่า
Market Depth สามารถดูได้จากไหน
ข้อมูลความลึกของตลาด (Market Depth) สามารถเข้าถึงได้จากหลายแพลตฟอร์มและบริการ ดังนี้
แพลตฟอร์มการเทรดและบัญชีของโบรกเกอร์
แพลตฟอร์มการเทรดออนไลน์จากโบรกเกอร์มักมีเครื่องมือในการดูข้อมูลความลึกของตลาด ซึ่งอยู่ในส่วนของการเทรด มักจะมีป้ายแท็บว่า “Market Depth,” “Level 2,” หรือ “Order Book”
ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าพื้นฐาน
บางตลาดหุ้นและตลาดสินค้าพื้นฐานให้ข้อมูลความลึกของตลาดโดยตรงผ่านเว็บไซต์ของตน ข้อมูลนี้อาจจะล่าช้าหากคุณไม่มีการสมัครสมาชิกข้อมูลแบบเรียลไทม์
ตลาดเงินดิจิทัล (Cryptocurrency Exchanges)
สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ตลาดเหล่านี้มักจะมีแผนภูมิความลึกของตลาดที่รายละเอียด โดยทั่วไปแล้ว คุณสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบ
เว็บไซต์ข่าวการเงิน
เว็บไซต์ที่มีโฟกัสเกี่ยวกับข่าวการเงินมักจะมีแผนภูมิความลึกของตลาด แต่มักจะเรียบง่ายและอาจไม่ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์
APIs (Application Programming Interfaces)
API จากผู้ให้บริการข้อมูลการเงินหลายแห่งสามารถใช้ดึงข้อมูลความลึกของตลาดมายังแอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นเอง นี่คือสิ่งที่นักเทรดแบบอัลกอริทึมมักใช้
เครื่องมือซอฟต์แวร์
มีเครื่องมือซอฟต์แวร์พิเศษที่ให้การวิเคราะห์ตลาดเชิงลึก รวมถึงความลึกของตลาดด้วย สิ่งเหล่านี้มักมุ่งเป้าไปที่เทรดเดอร์มืออาชีพและอาจมีราคาค่อนข้างแพง
คุณลักษณะที่ควรรู้:
-
- ข้อมูลเรียลไทม์: สำคัญสำหรับนักเทรด หลายบริการให้ข้อมูลเรียลไทม์ แต่บางที่อาจมีความล่าช้าเล็กน้อย
- ข้อมูล Level 1 และ Level 2: ข้อมูล Level 1 แสดงราคา Bid และ Ask ที่ดีที่สุดเท่านั้น ในขณะที่ Level 2 ให้มุมมองที่ลึกขึ้น รวมถึง order book ทั้งหมด
- การแสดงผล: ความลึกของตลาดมักจะแสดงในรูปแบบของแผนภูมิ
- ข้อมูลย้อนหลัง: บางแพลตฟอร์มให้คุณดูข้อมูลความลึกของตลาดย้อนหลัง ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการทดสอบกลยุทธ์การเทรด
- การกรองข้อมูล: แพลตฟอร์มขั้นสูงอาจมีคุณลักษณะในการกรอง order book ตามขนาดของคำสั่ง ซึ่งช่วยให้สามารถระบุ “คุ้มครองของวาฬ” ในตลาดได้
Market Depth มีประโยชน์อย่างไร
การทำความเข้าใจเรื่องความลึกของตลาด (Market Depth) สามารถนำไปสู่ข้อดีหลายประการสำหรับนักเทรดและนักลงทุน นี่คือข้อดีหลัก ๆ ที่คุณอาจพบ:
- การค้นพบราคาที่ดีขึ้น : ความลึกของตลาดให้ภาพรวมของอุปทานและความต้องการในราคาต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้นักเทรดเข้าใจถึงทิศทางของราคาได้ดีขึ้น
- การดำเนินการคำสั่งที่ดีขึ้น : การทราบถึงปริมาณความลึกที่แต่ละระดับราคาจะช่วยในการวางแผนขนาดและประเภทของคำสั่ง ในตลาดที่มีความลึกมาก คำสั่งขนาดใหญ่สามารถดำเนินการได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคาตลาด
- ลดการเลื่อนราคา (Slippage) : การเลื่อนราคาเกิดขึ้นเมื่อคำสั่งถูกดำเนินการในราคาที่แตกต่างจากที่คาดหวัง ตลาดที่มีความลึกมากทั่วไปจะมีโอกาสน้อยที่จะเกิดการเลื่อนราคา
- การระบุแนวโน้มของตลาด : การเปลี่ยนแปลงทันทีในความลึกของตลาด อาจบ่งบอกถึงพฤติกรรมที่ขาขึ้นหรือขาลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- การจัดการความเสี่ยง : นักเทรดสามารถใช้ข้อมูลความลึกของตลาดในการตั้งค่าคำสั่งหยุดความเสียหาย (Stop-loss) ได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
- การวางแผนเวลาในการเข้าและออกจากตลาด : ข้อมูลความลึกของตลาดช่วยนักเทรดในการวางแผนเวลาเข้าและออกจากตลาดได้แม่นยำขึ้น
- ความโปร่งใส : ตลาดที่มีความลึกมากทั่วไปจะถือว่ามีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีข้อมูลมากขึ้นที่เปิดเผย
- ความยืดหยุ่นต่อการควบคุมตลาด : ตลาดที่มีความลึกและความหนืดมาก โดยทั่วไปจะยากต่อการถูกควบคุมหรือทำให้ราคาเลื่อนไปในทิศทางที่ต้องการได้ยาก
- ข้อสังเกตการณ์ทางวิเคราะห์ : นักเทรดที่มีความชำนาญมักใช้ข้อมูลความลึกของตลาดในการทำการเทรดแบบอัลกอริทึม หรือการเทรดความถี่สูง
- ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน : สำหรับผู้ที่รู้วิธีตีความข้อมูลได้เป็นอย่างดี ความลึกของตลาดจะนำไปสู่ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน
การวิเคราะห์ Market Depth
การวิเคราะห์ความลึกของตลาด (Market Depth Analysis) เป็นเทคนิคที่นักลงทุนและนักซื้อขายใช้เพื่อตรวจสอบอัตราการเสนอซื้อและขายสินทรัพย์ในตลาดทางการเงิน วิเคราะห์นี้อิงข้อมูลจากความลึกของตลาด ซึ่งประกอบด้วยรายการของคำสั่งซื้อและขายที่ราคาต่าง ๆ
ส่วนสำคัญของข้อมูล Market Depth
-
- ราคา Bid: ราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อยินยอมจ่ายสำหรับสินทรัพย์
- ราคา Ask: ราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยินยอมรับสำหรับสินทรัพย์
- ขนาดคำสั่ง: ปริมาณของสินทรัพย์ (เช่น หุ้น, สัญญา ฯลฯ) ที่มีในแต่ละระดับราคา
- ข้อมูล Level 1 และ Level 2: Level 1 แสดงเฉพาะราคา Bid และ Ask ที่ดีที่สุด ในขณะที่ Level 2 แสดงสมุดคำสั่งทั้งหมด ซึ่งประกอบไปด้วยคำสั่งซื้อและขายที่ระดับราคาต่าง ๆ
ขั้นตอนในการวิเคราะห์ความลึกของตลาด
ขั้นตอนที่ 1: สังเกตุระหว่าง Bid-Ask Spread
-
- Spread แคบ: บ่งบอกถึงความเหลวและต้นทุนที่ต่ำในการซื้อและขาย
- Spread กว้าง: บ่งบอกถึงความไม่เหลวและต้นทุนที่สูง
ขั้นตอนที่ 2: ประเมินความลึกในระดับราคาต่าง ๆ
-
- ความลึกสูง: มีคำสั่งซื้อ/ขายมากที่ระดับราคาหมายความว่ามีความเหลวสูง ทำให้ง่ายต่อการดำเนินการคำสั่งขนาดใหญ่โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคาอย่างมีนัยสำคัญ
ขั้นตอนที่ 3: ระบุความไม่สมดุลของตลาด
-
- จำนวนคำสั่งซื้อที่สูงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับคำสั่งขายโดยทั่วไปจะบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ขาย
ขั้นตอนที่ 4: มองหา “กำแพง” หรือ “พื้น”
-
- จำนวนคำสั่งซื้อหรือขายที่มากที่ระดับราคาเฉพาะสามารถทำหน้าที่เป็น “ระดับสนับสนุน” หรือ “ระดับต้านทาน” มักจะถูกเรียกว่า “กำแพง” หรือ “พื้น”
ขั้นตอนที่ 5: ตรวจสอบรูปแบบราคาหรือความผิดปกติ
-
- การเปลี่ยนแปลงที่เฉียบขาดในความลึกของตลาดอาจเป็นสัญญาณของข่าว ประกาศ หรือการจัดการตลาด
ขั้นตอนที่ 6: ประเมินอารมณ์ของตลาด
-
- คำสั่งซื้อและขายที่สมดุลโดยทั่วไปจะแนะนำอารมณ์ของตลาดที่เป็นกลาง
เทคนิคและเครื่องมือในการวิเคราะห์
1. การแสดงผลแบบภาพ
แผนภูมิความลึก: การแสดงผลแบบกราฟิกของความลึกของตลาด มันแสดงความต้องการและอุปทานในระดับราคาต่าง ๆ และช่วยระบุแนวโน้ม
2. เครื่องมือปริมาณ
นักซื้อขายบางคนใช้อัลกอริทึมและโมเดลปริมาณเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลความลึกของตลาดในเวลาจริงสำหรับการซื้อขายความถี่สูง
3. การใช้ตัวบ่งชี้
เครื่องมือเช่น VWAP (Volume-Weighted Average Price) ยังสามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ความลึกของตลาด
ประโยชน์ของการวิเคราะห์ความลึกของตลาด
-
- การจัดการความเสี่ยง: โดยการทราบถึงที่ตั้งของความเหลว คุณสามารถตั้งค่าคำสั่งหยุดขาดทุน (stop-loss orders) ที่แม่นยำขึ้น
- การจัดเวลาการซื้อขาย: ช่วยในการปรับปรุงจุดเข้าและจุดออกสำหรับการซื้อขายของคุณ
- การทำนายราคา: การเปลี่ยนแปลงที่เฉียบขาดในความลึกสามารถเป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวราคาระยะสั้น